วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แค่เปลี่ยนวิธีคิดคุณก็ประสบความสำเร็จได้


วันนี้ขอเปลี่ยนแนวนิดนึงวันนี้พี่จะมาเขียนเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จในชีวิตกันบ้างว่าวิธีคิดแบบไหนที่จะทำให้ชีวิตน้องๆประสบความสำเร็จได้

1. คนล้มเหลวคิดลบ คนประสบความสำเร็จคิดบวก

คงเป็นเรื่องจริงเลยทีเดียวครับที่เป็นข้อแตกต่างระหว่างคนที่ล้มเหลวกับคนที่ประสบความสำเร็จ

2. คนล้มเหลวคิดว่าทำไม่ได้ คนประสบความสำเร็จคิดว่าทำได้

คนโดยส่วนใหญ่มักจะชอบคิดว่าทำไม่ได้ก่อนที่จะลงมือทำแต่คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่คิดเช่นนั้น

3. คนที่ล้มเหลวยึดติดความสำเร็จในอดีต คนที่ประสบความสำเร็จมองแต่อนาคต

อันนี้คงเป็นเรื่องจริงมิใช่น้อยของคนที่อยู่กับที่และล้มเหลวมักจะยึดติดอยู่กับความสำเร็จในอดีตของตนเองจนไม่ยอมที่จะพัฒนาตนเองเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้า

4. คนที่ล้มเหลวได้แต่คิด คนที่ประสบความสำเร็จจะลงมือทำ

คนที่ล้มเหลวมักจะชอบคิดและวิจารณ์มากกว่าที่จะลงมือทำส่วนคนที่ประสบความสำเร็จโดยส่วนใหญ่นั้นเค้าจะไม่ใช่แค่คิดแต่เค้าจะลงมือทำ ทำมันให้สำเร็จให้ชัดแจ้ง

5. คนที่ล้มเหลวมองสั้นแต่คนประสบความสำเร็จจะมองการณ์ไกล

คนที่ล้มเหลวโดยส่วนมากมักจะชอบมองปัจจุบันโดยไม่คำนึงถึงอนาคตในระยะยาวแต่คนที่ประสบความสำเร็จจะมองสิ่งที่อยู่ในอนาคตนั่นก็คือการมองการณ์ไกลนั่นเอง

6. คนที่ล้มเหลวมักใช้ชีวิตแบบไม่วางแผนแต่คนที่ประสบความสำเร็จจะชอบวางแผนชีวิต

คงจะเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอนที่ว่าถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จคุณก็ต้องรู้จักการวางแผนชีวิตเพราะถ้าคุณไม่วางแผนโอกาสเกิดความล้มเหลวในชีวิตของคุณก็คงจะเกิดขึ้นแน่นอน

7. คนที่ล้มเหลวรู้จักวิธีใช้เงินแต่คนที่ประสบความสำเร็จจะรู้จักวางแผนทางการเงิน

คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนว่าการใช้เงินคือปัจจัยสำคัญในชีวิตแต่คนที่ฉลาดจะรู้จักการวางแผนทางการเงินในระยะยาวในการแบ่งการลงทุนและสร้างสินทรัพย์สร้างกำไรมากกว่าสร้างสินทรัพย์สร้างหนี้แต่คนที่ล้มเหลวมักจะรู้จักแต่วิธีการใช้เงิน เช่น ซื้อโน่น ซื้อนี่ จนเป็นหนี้

8. คนล้มเหลวจะคิดว่าตัวเองเก่งแล้วแต่คนที่ประสบความสำเร็จจะคิดว่าตัวเองต้องพัฒนาอีก

คนที่ล้มเหลวและโดนแซงหน้าโดยส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตนเองนั้นเก่งแล้วจนไม่จำเป็นที่จะต้องพัฒนาตนเองผลสุดท้ายจึงทำให้ตนเองย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหนแต่คนที่ฉลาดมักจะทำตัวเป้ฯคนน้ำแค่ครึ่งแก้วที่สามารถจะพัฒนาตนเองได้อยู่เสมอ

9. คนที่ล้มเหลวจะเถียงมากกว่าฟังแต่คนที่ประสบความสำเร็จจะฟังมากกว่าเถียง

คงจะเป็นเรื่องจริงไม่ใช่น้อยที่คนที่ล้มเหลวส่วนใหญ่มักจะชอบเถียงมากกว่าการฟังแต่คนที่ประสบความสำเร็จโดยส่วนมากจะชอบฟังมากกว่าเถียง

10. คนที่ล้มเหลวชอบคิดอะไรเล็กๆแต่คนที่ประสบความสำเร็จชอบคิดอะไรใหญ่ๆ

คนที่ล้มเหลวโดยส่วนมากมักจะชอบคิดอะไรที่มันใกล้ตัวทำอะไรแค่พอผ่านแบบง่ายๆแต่คนที่ประสบความสำเร็จเค้าจะมองงานใหญ่ๆว่ามันคือบททดสอบที่จะต้องผ่านไปให้ได้และผลตอบแทนของคนที่ยิ่งใหญ่ก็ย่อมได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน

( P. Boom ) เขียน

- วิทยากรอิสระ
- นักกิจกรรมเพื่อสังคม






วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เทคนิคการอ่านหนังสือที่ไม่ต้องเยอะแต่เข้าใจได้เยอะแยะ


( เทคนิคการอ่านหนังสือที่ไม่ต้องเยอะแต่เข้าใจได้เยอะแยะ )


   น้องๆหลายคนอาจจะคิดว่าการอ่านหนังสือให้ได้เข้าใจมากๆนั้นเราจะต้องอ่านให้จบเป็นหลายๆเล่มและอ่านให้นานที่สุด แต่ในความคิดของพี่นั้นมันอาจจะไม่ได้ผลมากนักและตัวพี่ก็เป็นคนที่อ่านหนังสือนานมากไม่ค่อยได้แต่พี่ก็มีวิธีในการอ่านที่ไม่เหมือนใคร คือ อ่านน้อยแต่เข้าใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น

1. ดูสารบัญหนังสือและคำนำ

   ก่อนที่เราจะเริ่มลงมืออ่านเนื้อหาหนังสือในเล่มนั้นการดูสารบัญและคำนำของหนังสือนั้นจะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาหนังสือนั้นแบบภาพรวมที่ชัดเจนมากๆเพราะหลายๆคนมักจะไม่ชอบอ่านสารบัญและคำนำเพราะคิดว่ามันไม่สำคัญแต่หารู้ไม่ว่าสารบัญและคำนำในหนังสือนั้นเปรียบเสมือนกับเนื้อหาและขอบข่ายทั้งหมดของหนังสือนั้นๆเลยซึ่งเมื่อเราเข้าใจสารบัญและคำนำแล้วเราก็จะสามารถรู้ได้ว่าเราควรจะอ่านอะไรบ้าง

2. อ่านนานไม่เท่ากับอ่านและทำ mindmap

   การอ่านหนังสือนานๆนั้นมันไม่สามารถทำให้เราเข้าใจเนื้อหาในเรื่องนั้นๆได้ทั้งหมดเพราะมันเปรียบเสมือนกับการที่เราเอาเนื้อหาทั้งหมดมาอัดลงสมองจนเกินควรแต่ก็มีวิธีการหนึ่งที่จะสามารถย่อยข้อมูลอันมากมายมหาศาลของหนังสือเล่มนั้นลงมาเป็นรูปภาพได้ด้วยการทำ My mapping ครับ การทำ My mapping นั้น คือ การทำแผนภาพความคิดโดยการเอาข้อมูลในหนังสือเรื่องนั้นมาย่อยและทำเป็นประเด็นทางองค์ความรู้เพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจได้ว่าในแต่่ละเรื่องที่เราอ่านนั้นมันมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง

3. หัดรู้จักตั้งคำถามในหนังสือที่เราอ่านบ้าง

   การอ่านหนังสือแบบขอจบไวๆนั้นมันไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับเราอ่านและรู้จักตั้งคำถามและข้อสงสัยในเรื่องนั้นๆด้วย การตั้งคำถามนั้นเปรียบเสมือนกับการต่อยอดทางองค์ความรู้ในเรื่องที่เราอ่านครับเพราะมันจะทำให้เราสามารถที่จะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากคำถามที่เราสงสัยจากหนังสือเรื่องนั้นและก็เกิดกระบวนการเรียนรู้และแสวงหาความรู้ครับ

4. พักสมองเสียบ้างด้วยการฟังเพลงบรรเลงเบาๆ

   การจดจ่ออยู่กับหนังสือนานๆแน่นอนครับมันจะทำให้เราเครียดมากๆ ฉะนั้น สมองก็ต้องการพักผ่อนและการผักผ่อนที่ดีที่สุดของพี่ คือ การฟังเพลงบรรเลงครับ เพลงบรรเลงนั้นก็มีหลายรูปแบบส่วนตัวพี่ชอบฟังเพลงบรรเลงกูฉินจีนโบราณครับหรือถ้าน้องๆไม่ชอบก็สามารถจะฟังเพลงบรรเลงโมสาร์ทก็ได้น่ะครับ

( P. Boom ) เขียน



วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

พี่ลูกเป็ดผู้สร้างกำลังใจแก่เด็กราม


( พี่ลูกเป็ดผู้สร้างกำลังใจแก่เด็กราม )


     หลายๆคนอาจจะสงสัยกันนะครับว่าชายผู้นี้คือใครแล้วทำไมลูกพ่อขุนจะต้องรู้ ชายผู้นี้ชื่อพี่เป็ดครับทำงานเป้นเจ้าหน้าที่ในรามแล้วก็เป็นศิษย์เก่าคณะศิลปศาสตร์ครับ

1. น้องๆจะได้เจอพี่ลูกเป็ดตอนช่วยใกล้สอบ 

เรื่องนี้คงจริงแท้แน่นอนที่ว่าพี่ลูกเป็ดมักจะมาสร้างรอยยิ้มให้กับน้องๆด้วยการมาร้องเพลงให้กำลังใจน้องๆตามห้องอ่านหนังสือใน ม.รามครับ

2. เพลงประจำตัว " ศรัทธา "

เพลงประจำตัวพี่ลูกเป็ดที่มักจะสร้างรอยยิ้มให้กับน้องๆได้มากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น เพลงศรัทธาซึ่งจะมีท่อนเด็ดที่ทำให้น้องๆยิ้มได้นั่น คือ " ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา "

3. เดี๋ยวนี้พี่ลูกเป็ดมักจะพาน้องๆมาร้องเพลงด้วย

ในช่วงหลังๆนี้พี่ลูกเป็ดมักจะมาน้องๆหรือคนที่อยากร้องเพลงมาร่วมร้องเพลงให้กำลังใจน้องๆด้วยนะครับซึ่งก็เป็นสีสันที่น่ารักไปอีกแบบหนึ่ง

4. พี่ลูกเป็ดมักจะมาในชุดที่ไม่เหมือนใคร

เรื่องนี้คงเป็นเรื่องจริงแหละครับเพราะทุกๆครั้งที่พี่ลูกเป็ดมาร้องเพลงก็มักจะมาในชุดที่แปลกและไม่เหมือนใครครับ

( บทสัมภาษณ์พี่ลูกเป็ดโดย น้อง VIP )



วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เทคนิคการทำข้อสอบอัตนัยรัฐศาสตร์



( เทคนิคการทำข้อสอบอัตนัยและการเตรียมพร้อม )



1. ไม่รู้จะเขียนอะไรดี

     
ปัญหาตรงนี้เจอกันบ่อยมากๆสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งหัดเขียนแบบว่าพอเห็นข้อสอบและเห็นคำตอบถึงกับตึงไปเลยเพราะคิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรลงไปดีปัญหาตรงนี้เกิดขึ้นจากสาเหตุที่น้องๆอ่านหนังสือมาน้อยหรืออ่านหนังสือก่อนสอบไม่กี่อาทิตย์มันจึงทำให้เราไม่สามารถที่จะปรับตัวกับสภาพที่ต้องรับข้อมูลอันมหาศาลมาจดจำและทำความเข้าใจได้

2. เขียนได้ไม่เยอะเลย

ปัญหาตรงนี้จะเจอกันบ่อยมากแบบว่าเจอข้อสอบวิเคราะห์แต่ดันเขียนได้ไม่เยอะและก็ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อดี

3. ต้องท่องจำมาเขียนหรือป่าว

ปัญหาตรงนี้เจอกันบ่อยมากๆครับแบบว่าน้องๆชอบไปท่องชีทแดงหรือหนังสือมาตอบแต่เวลาเขียนดันเขียนได้ไม่เยอะและก็สอบตกกันตามระเบียบ

4. เขียนไปตั้งเยอะทำไมถึงตก

ปัญหาโลกแตกที่เจอกันบ่อยมากๆครับสาเหตุนั้นก็เกิดจากการที่เราเขียนไม่ค่อยจะตรงกับสิ่งที่อาจารย์ท่านถามมันจึงทำให้เราสอบตกครับ

5. เขียนไปซักพักตัน

ปัญหาตรงนี้เจอบ่อยมากๆครับแบบว่าเขียนอยู่ดีๆดันขึ้นไม่ออกซ่ะงั้นปัญหาตรงนี้แก้ได้ไม่ยากครับเดี่ยวรออ่านบทต่อไปกันเลย

( วิธีฝึกฝนการเขียนและการเตรียมพร้อม )

1. สะสมข้อมูล ( อ่านหนังสือ )

การอ่านหนังสือมากๆมันก็ทำให้เรามีคลังความรู้ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นและการที่เราจะสามารถเขียนได้มากขึ้นมันก็อยู่ปริมาณและความเข้าใจของหนังสือที่เราอ่าน ฉะนั้น ท่านจะเขียนข้อสอบไม่ได้เลยหากปราศจากการรักการอ่านเพราะการอ่านนั้นทำให้เรามีความรู้ที่เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

2. ทำ Mindmap

สมองของคนเรานั้นจะสัมพันธ์ที่จะรับรู้ข้อมูลที่เป็นรูปภาพ ฉะนั้น การที่เราจะสามารถอ่านหนังสือและจดจำข้อมูลในหนังสือนั้นๆได้อย่างมากมายนั้นการทำ Mindmap ก็คือหนทางที่ดีที่สุดอีกทั้งการทำ Mindmap ยังทำให้เราเข้าใจข้อมูลอย่างมหาศาลได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

3. ทำโครงสร้างการเขียน

การทำโครงสร้างการเขียนนั้น คือ การวาดประเด็นในการเขียนข้อสอบไว้ในกระดาษเพื่อดูว่าในข้อสอบข้อนั้นมันมีประเด็นอะไรบ้าง ฉะนั้น เราต้องเขียนเพื่อที่จะทำให้เรานั้นเขียนข้อสอบได้อย่างมีระบบ

4. ทำสรุปทุกบท

เวลาเราอ่านหนังสือวิชานั้นจบหนึ่งบทก็ให้เราเขียนสรุปในสิ่งที่เราได้และก็เข้าใจในบทนั้นโดยเขียนมาเป็นสรุปใส่กระดาษโดยที่ไม่ต้องเปิดหนังสือบทนั้นดูเพราะการเขียนสรุปหลังจากเราอ่านจบครบทุกๆหนึ่งบทนั้นจะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาวิชานั้นได้อย่างครบถ้วนและก็ไม่กดดันตัวเอ

( กระบวนการคิดต่อยอดการเขียน )

1. หลักการ What

หลักการคิดตั้งคำถาม What นั้นคือกระบวนการตั้งคำถามเวลาเราเขียนข้อสอบไปได้ซักพักแล้วเราก็ตันแล้วเราก็ตั้งคำถามในเรื่องที่เราเขียนนั้นว่ามัน คือ อะไรเพื่อที่เราจะสามารถรู้ข้อมูลเรื่องต่อๆไปที่เราควรจะเขียนได้ว่า อะไรคือสิ่งที่เราต้องค้นหาคำตอบเพื่อมาเขียนในข้อสอบในข้อนั้นๆได้

2. หลักการ How

การตั้งคำถามว่า How ในการทำข้อสอบอัตนัยนั้นจะทำให้เราทราบถึงกระบวนการและวิธีการในคำตอบที่เราจะเขียนได้ เช่น เราเจอคำถามข้อสอบที่มุ่งเน้นให้เราเขียนในเชิงของการแก้ไขปัญหาการใช้หลักการ How จะทำให้เราได้รับรู้ว่าวิธีการที่เราจะเขียนนั้นเราจะต้องเขียนอะไรลงไปนั่นเอง

3. หลักการWhy

หลักการ Why เป็นหลักการตั้งคำถามในตอนที่เราทำข้อสอบแล้วก็ตันในการเขียนเราก็ต้องคิดตั้งคำถามโดยใช้หลักการ Why ในการตั้งคำถามขึ้นมาเพื่อให้เราสามารถที่จะนึกถึงข้อมูลต่างๆที่เราสะสมไว้ในคลังสมองแล้วก็ดึงมันออกมาเขียนในข้อสอบได้

( P.Boom ) เขียน



ทำไมรัฐศาสตร์ถึงเป็นราชาแห่งศาสตร์




( ทําไมรัฐศาสตร์ถึงเป็นราชาแห่งศาสตร์ )

      ในการเรียนรัฐศาสตร์นั้นเรามักจะได้ยินคําคมซึ่งได้ถูกกล่าวไว้โดย อริสโตเติ้ล ไว้ว่า รัฐศาสตร์ ราชาแห่งศาสตร์ และก็เกิดคําถามที่ว่าทําไมรัฐศาสตร์จึงอยู่เหนือทุกศาสตร์และคําคมนี้มันมีเหตุผลทางตรรกะมากแค่ใหน วันนี้ผู้เขียนจะมาอธิบายในนิยามที่ว่า รัฐศาสตร์ คือ ราชาแห่งศาสตร์ ให้เข้าใจกันครับ
   1. รัฐศาสตร์ กับ สังคม
   ในหลักการของรัฐศาสตร์นั้นจะมุ่งศึกษาในเรื่องของสังคมกล่าวคือ จะมุ่งศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์ ชุมชน และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางการเมืองในสังคม และในสังคมนั้นก็สามารถที่จะแบ่งแยกกลุ่มศาสตร์ต่างๆในสังคมได้อีกด้วยและก็เชื่อมโยงถึงการพัฒนาซึ่งกันและกัน อาทิ
1.1 วิทยาศาสตร์
1.2 การกีฬา
1.3 การท่องเที่ยว
1.4 ชุมชน
1.5 พฤติกรรมมนุษย์
1.6 สิ่งแวดล้อม
1.7 พลังงาน
1.8 และอื่นๆอีกมากมายในจุลภาคของสังคม
   กล่าว คือ รัฐศาสตร์ก็จะมุ่งศึกษาในภาพรวมของเรื่องต่างๆเหล่านี้ด้วยซึ่งจะศึกษาถึงความเป็นมาและจิตวิทยาของแต่ล่ะเรื่องแต่จะไม่ลงลึกถึงกรรมวิธีการทํางานในแต่ล่ะเรื่องแต่จะอธิบายโครงสร้างทางพื้นฐานและปรัชญาในแต่ล่ะภาคส่วนเท่านั้นอีกทั้งในสาขาที่แตกแขนงออกไปก็ล้วนเป็นเรื่องของการพัฒนารัฐและประเทศและรัฐศาสตร์ก็เป็นศาสตร์ที่ศึกษาในเรื่องของ รัฐ การเมือง และการพัฒนา
  2. รัฐศาสตร์ กับ เศรษฐกิจ
  ในหลักทางรัฐศาสตร์นั้นก็มุ่งที่จะศึกษาในเรื่องเศรษฐกิจด้วยเพราะกล่าวได้ว่าระบบเศรษฐกิจนั้น คือ ระบบที่สามารถที่จะพัฒนาประเทศได้โดยรัฐศาสตร์ก็จะเอาหลักทางเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ในการอธิบายถึงกลไกทางเศรษฐกิจที่สําคัญๆและในระบบเศรษฐกิจนี้เองก็จะแบ่งแยกย่อยออกเป็นศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวกับการเงินและเศรษฐศาสตร์อย่างมากมาย อาทิ
2.1 การเงินการธนาคาร
2.2 เศรษฐศาสตร์
2.3 การบัญชี
2.4 การบริหาร
2.5 การจัดการ
2.6 ศาสตร์ผู้นําองค์กร
2.7 และอื่นๆอีกมากมายในจุลภาคของเศรษฐกิจ
  3. รัฐศาสตร์ กับ การเมือง
  ในหลักการทางรัฐศาสตร์นั้นก็จะมุ่งศึกษาถึงระบบการเมืองทั้งระบบด้วยซึ่งจะศึกษาทั้งปรัชญาการเมืองในรูปแบบต่างๆทั่วโลก ระบบกฏหมายที่มีความเชื่อมโยงกับระบบการเมือง รวมทั้งปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงต่างๆทางการเมืองที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาหรือการถอยหลังในเวลาเดียวกัน และในภาคการเมืองนี้เองก็มีการแตกแขนงออกเป็นศาสตร์ต่างๆอย่างมากมาย อาทิ
3.1 กฏหมาย
3.2 เศรษฐศาสตร์การเมือง
3.3 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
3.4 การจัดองค์กรในภาคมหาชน
3.5 การเมืองการปกครอง
3.6 รัฐประศาสนศาสตร์
3.7 และอื่นๆอีกมากมายในจุลภาคของการเมือง
  สรุป นิยามของ อริสโตเติ้ล ที่ว่า รัฐศาสตร์ คือ ราชาแห่งศาสตร์ นั้นมีตรรกะรองรับ เพราะว่า รัฐศาสตร์นั้นมุ่งศึกษาถึง ระบบสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง และในระบบต่างๆเหล่านี้ก็มีจุลภาคในระดับเล็กที่แตกแขนงต่างๆอีกมากมายและก็มีแนวคิดของ Huntington ก็พูดไว้ในแนวที่ว่า การพัฒนาการเมืองนั้น คือ การพัฒนา สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง และในเรื่องของการพัฒนาการเมืองนี้เองก็คือ แนวคิดที่อยู่ในรัฐศาสตร์ ที่ครอบคลุมในทุกแนวคิด กล่าวคือ รัฐศาสตร์ คือ การศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกนั่นเอง
( หมายเหตุ / การเรียนรัฐศาสตร์อย่างเข้าใจนั้นจะต้องศึกษาในทุกๆศาสตร์และทุกสาขา กล่าวคือ รัฐศาสตร์คือศาสตร์ที่จะสร้างให้เราเป็นคนรอบรู้ในรอบด้านเพราะรัฐศาสตร์นั้นอยู่รอบตัวเราและรอบด้านครับผม )
( P. Boom ) เขียน

ตำนานจระเข้เผือก ม.รามคำแหง




( ตำนานจระเข้เผือก ม.รามคำแหง )


       เมื่อพูดถึงหนึ่งในตำนานที่เด็กรามต้องรู้เราก็คงจะหนีไม่พ้นตำนานจระเข้เผือกอย่างแน่นอนครับ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าตำนานจระเข้เผือกนี้ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปีใดหรือผู้ใดเป็นคนค้นพบแต่ที่แน่ๆเด็กรามทุกๆคนจะต้องได้พบได้เจออย่างแน่นอนในชีวิตของการเรียนรามอีกทั้งเรื่องเล่าขานตำนานจระเข้เผือกนั้นก็มีเยอะมากๆครับ

1. เรียนรามถ้าไม่เห็นจระเข้เผือกจะเรียนไม่จบ

ตำนานนี้รุ่นพี่มักจะเล่าขานกันมารุ่นต่อรุ่นด้วยเหตุผลที่ว่าใครที่เรียนรามแล้วไม่เคยเห็นจระเข้เผือกก็จะเรียนไม่จบตำนานนี้จริงแท้แค่ไหนก็คงต้องมาลองทดสอบกันดูครับ อิอิ

2. ขนาดจบไปแล้วยังต้องมาดูจระเข้เผือก

รุ่นพี่หลายๆคนที่เรียนจบไปหลายต่อหลายคนยังคงเวียนแวะมาชมจระเข้เผือกกันตลอดซึ่งเรื่องนี้ก็คงจะจริงครับ

3. จระเข้เผือกจะออกจำศีลตอน 8 โมงเช้าและเข้าจำศีลตอน 6 โมงเย็น

คำใบ้ตรงนี้ก็คงจะเพียงพอที่ให้เด็กรามหลายๆคนไปค้นหาตำนานจระเข้เผือกกันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จากเด็กติดรถส่งของสู่บัณฑิตรามและวิทยากร





( จากเด็กติดรถส่งของสู่บัณฑิตรามและวิทยากร )

ชีวิตพี่บูมเองครับพี่หวังว่าคงจะเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆอีกหลายคนนะครับ

สวัสดีครับ ผมชื่อบูม ณ ตอนนี้ผมเป็นบัณฑิต ม.ราม แล้วครับและก็เป็นแอดมินเพจนี้รวมทั้งเป็นติวเตอร์จิตอาสาประจำกลุ่มนี้ด้วยครับ แต่กว่าผมจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้เส้นทางการเดินทางของผมมันไม่ได้สวยงามเหมือนดั่งในรูปที่ถ่ายออกมา ผมผ่านอะไรมาบ้าง มันเยอะมากๆครับ ทั้งล้มเหลว ทั้งเคยร้องไห้ ทั้งเคยครอบครัวแตกแยกเพราะผม ทั้งเคยต้องทํางานแบกหามช่วยครอบครัว เพื่อการเรียนของผม

แต่เดิมแล้วนั้นผมเรียนในคณะนิติศาสตร์ครับ และโรงเรียนมัธยมผมก็จบ ม.ปลาย จากโรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า ผมไม่ได้เป็นเด็กหัวดีเลยครับ จะเรียกได้ว่าเป็นคนโง่เลยก็ว่าได้เรียนในแต่ล่ะเทอมของ ม.ปลายได้เกรดไม่ถึง 2.50 แต่ผมก็จบมาได้จนมาถึงตอนที่จะเข้ามหาลัย ผมก็มาเรียนที่ ม.รามคําแหง แห่งนี้ครับ คณะที่ผมเรียน คือ นิติศาสตร์ ไม่ใช่ว่าผมเลือกมาเรียนเองน่ะ แต่เป็นเพราะครอบครัวบังคับให้ผมเรียนครับ ผมจึงต้องเรียนคณะนี้อย่างบอบชํ้าและไม่ค่อยจะเป็นตัวเอง เทอมแรกของคณะนี้เหมือนจะดีน่ะครับ ผมสอบผ่านในวิชาทั่วไปในหลายๆเล่ม ซึ่งผมก็ดีใจ แต่พอในเทอมต่อๆมา มันไม่ได้เป็นดั่งฝัน ผมตกเกือบจะทุกวิชาในแต่ล่ะเทอมครับ และวิชาที่ผมตกส่วนใหญ่ก็เป็นกฏหมายแทบทั้งสิ้น ลงไป 8 เล่ม ผ่านแค่ 1 ถึง 2 เล่ม ผมท้อมากๆครับ แต่ผมก็ยังเรียนต่อไปจนถึงปีที่ 3 จนตัวผมคิดได้ว่าสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารักมันไม่ใช่กฏหมาย แต่เป็นรัฐศาสตร์ ผมจึงไปบอกกับครอบครัวครับ ผลออกมา คือ เสียงด่า เสียงดูถูกจากครอบครัว ว่า เรียนมาตั้ง 3 ปี แล้ว ทําไมต้องย้ายคณะ จนผมกับครอบครัวนั้นทะเลาะกันรุนแรงจนบ้านแทบแตก แต่สุดท้ายครอบครัวก็ยอมให้ผมย้ายคณะ และก็เหมือนกับผมต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่สําหรับสิ่งที่ผมคิดนั้นมันไม่ใช่การนับหนึ่งแต่เป็นการเดินถอยหลังจากทางที่เราหลงเดินผิดทางเพื่อมาตั้งหลักและก็เดินไปในเส้นทางใหม่ที่ผมมองว่ามันคือ เป้าหมายของผม 

หลังจากผมย้ายคณะมาเรียนคณะรัฐศาสตร์แล้ว ผมไม่ได้เรียนอย่างเดียวแต่ผมต้องทํางานด้วย และงานที่ผมทํามันก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรเลย ไปเป็นเด็กติดรถเค้า แบกของ ส่งของ ซึ่งผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาขึ้นของที่คลังสินค้าและกว่าจะถึงรอบรถออกส่งนั้นก็กินเวลาไปถึง 10 โมง ส่งของเสร็จเหนื่อยๆเหงื่อเต็มตัว ไม่ใช่ว่าผมจะกลับบ้านน่ะครับแต่ผมต้องรีบนั่งรถมาเรียนที่ ม.ราม อีก ผมลงทะเบียนในแต่ล่ะเทอมเต็มทุกวิชาครับ เข้าเรียนก็ 2 - 3 วิชาต่อสัปดาห์ แต่ผมไม่กลัวครับเวลาว่างจากงานนัันคือ เวลาอ่านหนังสือของผม เทอมแรกผมสอบผ่านหมด พร้อมเกรดงามๆ แต่สิ่งที่สําคัญกว่าการเรียนของผม คือ ผมคิดเสมอว่าวิชาที่ผมเลือกเรียนจะต้องเป็นวิชาที่คนเค้าไม่เรียนกัน นั่นคือ เรียนในวิชาที่ยากๆ เพราะผมคิดเสมอว่า เด็กส่งของอย่างเรา จะต้องเก่งให้ได้ ผมทําแบบนี้ตลอดครับ และที่สําคัญผมไม่ได้แค่ทํางานและเรียน แต่ผมต้องทํางานสังคมด้วย ผมทําทั้ง 3 อย่างนี้ไปพร้อมๆกับการเรียน เวลาว่าง คือ เวลาอ่านหนังสือ วันหยุด คือ วันช่วยสังคม ช่วงบ่ายของสัปดาห์ คือ เวลาที่ผมเรียนหลังเสร็จงาน ผมทํางาน 1 ปี ครึ่ง และผมก็จบจากคณะรัฐศาสตร์ได้ในเวลา 2 ปี ทั้งเรียนด้วย ทํางานด้วย ทํากิจกรรมมหาลัยด้วย และทํากิจกรรมช่วยสังคมด้วย แต่ผมสามารถจบจากคณะที่ผมชอบและเลือกเองได้ในเวลา 2 ปี โดยที่ผมสอบตกแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ จากอดีตที่ผมล้มเหลวในคณะนิติมาถึง 3 ปี แต่ผมสามารถเกิดใหม่และโผบินบนท้องฟ้าในคณะรัฐศาสตร์ด้วยเวลา 2 ปี ผมดีใจมากๆครับ ผมไม่เชื่อเลยว่า จากเด็กส่งของที่คนเค้าดูถูก จะกลายมาเป็นบัณฑิต ม.ราม ได้ ในสายตาของคนอื่นอาจจะมองว่า เรียนจบจากราม มันน่าดีใจตรงใหน ใช่ครับในสายตาคนอื่นเค้ามองอย่างนั้น แต่สําหรับเด็กส่งของอย่างผมที่แทบจะไม่มีเวลาในช่วงที่เรียนจะต้องทําทุกสิ่งทุกอย่าง ถูกสังคมรอบข้างดูถูก ถูกครอบครัวกดดัน ความจนมันบังคับให้ผมต้องดิ้นรน และผมก็ทําได้ครับ วันนี้มันอาจจะเป็นความสําเร็จเล็กๆของใครหลายๆคนที่เค้าดูถูกผม แต่ในหัวใจของผมนั้นมันคือ พลังที่ยิ่งใหญ่ในการดําเนินชีวิตต่อไปในอนาคตครับ

ณ ปัจจุบันพี่เป็นวิทยากรให้กับองค์กรในรามและองค์กรข้างนอกและจัดกิจกรรมติวจิตอาสาให้กับน้องๆ ม.ราม ครับ

สุดท้ายนี้ เพื่อนๆทั้งหลายอย่าท้อน่ะครับ ชีวิตคนเรามันเลือกเกิดไม่ได้แต่เราสามารถที่จะเลือกกําหนดชะตาชีวิตได้ ไม่มีใครหรอกครับที่จะหัวเราะมาตั้งแต่เกิด เพราะว่า ก่อนที่ผมจะหัวเราะได้ ผมก็เคยมีคราบนํ้าตามาแล้วครับ

 "ไม่มีใครหรอกครับที่จะหัวเราะมาตั้งแต่เกิดเพราะว่าก่อนที่ผมจะหัวเราะได้ ผมก็เคยมีคราบนํ้าตามาแล้วครับ" 


( P.Boom ) จากเด็กติดรถส่งของสู่วิทยากร
( ประธานเพจรัฐศาสตร์รามเพื่อนเรียน )

- อดีตพนักงานฝ่ายบุคคล บริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด ( Benz พัฒนาการ )
- วิทยากรให้องค์กรใน ม.ราม
- วิทยากรบรรยายให้กับสถาบันการศึกษาข้างนอก
- เจ้าของเพจประวัติศาสตร์จีน สมาชิก 12,000 คน
- นักกิจกรรมเพื่อสังคม
- ผู้ก่อตั้งเพจรัฐศาสตร์รามเพื่อนเรียน